การใช้สัญญาณไซเรนและไฟฉุกเฉินเพื่อขอทาง รถยนต์สมัยใหม่มีระบบป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก และ อาจเปิดวิทยุไว้ดังจนไม่ได้ยินเสียงไซเรนของรถฉุกเฉินจากระยะไกล เสียงไซเรนมักจะได้ผลดีเมื่อใช้ในพื้นที่ที่มีอาคาร สูงสองฟากถนนทั้งนี้เพราะรถมักจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วต่ำและอาคารสูงสองฟากถนนจะเป็นตัวช่วยให้เสียงไซเรน สะท้อนไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น แต่เสียงไซเรนจะลดประสิทธิภาพลงอย่างมากเมื่อถูกใช้ในพื้นที่เปิดโล่ง และการจราจร เคลื่อนตัวไปอย่างเร็ว เช่น บนทางด่วน , ทางหลวงระหว่างจังหวัด เป็นต้น คำแนะนำเพื่อใช้ปฏิบัติเพื่อให้เสียงไซเรน มีประสิทธิภาพสูงสุด

     1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ ถ้าไซเรนในรถของท่านมีปุ่มหมุนปรับเสียงได้ให้เปลี่ยนเสียงไซเรนบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในขณะขับรถฉุกเฉินเข้าบริเวณทางแยก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าควรใช้เสียงไซเรนใดในการจราจรแบบใด แต่เสียงไซเรนที่มีลักษณะสั้นและรัวจะทำให้ผู้ใช้รถได้ยินเสียงจากระยะไกลได้ดีกว่า ในขณะที่เสียงลากยาว(แบบรถดับเพลิง)จะมีประสิทธิภาพมากขณะขับฝ่าการจราจรด้วยความเร็วต่ำ ในขณะที่เสียงไซเรนแบบเสียงสูง-ต่ำสลับกัน(แบบที่รถพยาบาลทั่วไปใช้)ดูจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้เสียงไซเรนแบบอื่นๆ

     2. รถฉุกเฉินบางคันเปิดไฟฉุกเฉินในขณะปฏิบัติการในกรณีไม่ฉุกเฉิน หรือขณะเดินทางกลับฐานที่ตั้ง ซึ่งอาจเป็นการสร้างความสับสนแก่ผู้ใช้รถคนอื่นๆ ท่านอาจแปลกใจที่ผู้ขับรถบางคนไม่หลบทางให้ขณะที่ท่านเดินทางไปที่เกิดเหตุ ทั้งนี้เพราะผู้ขับรถคนอื่นเห็นไฟฉุกเฉินของท่านเปิดไว้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นควรจะใช้ไฟฉุกเฉินร่วมกับสัญญาณเสียงไซเรนเสมอ และใช้เฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ในแบบฉุกเฉินเท่านั้น

     3. ในขณะขับรถฉุกเฉินในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควรเปิดสัญญาณไฟวับวาบทุกดวง ผู้ใช้รถบนท้องถนนควรได้เห็นสัญญาณไฟวับวาบของท่านได้อย่างชัดเจนทั้ง 360 องศา เคยมีการศึกษาพบว่าโคมไฟวับวาบสีน้ำเงินสามารถมองเห็นได้ดีที่สุดในช่วงพลบค่ำ ในขณะที่สีแดงจะสังเกตเห็นได้ดีในช่วงกลางวัน ส่วนสีเหลือง ผู้ขับขี่คนอื่นๆจะเห็นและบอกตำแหน่งรถของท่านได้เร็วที่สุด ดังนั้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด เมื่อท่านสั่งประกอบรถฉุกเฉินคันใหม่ ควรเลือกไฟวับวาบชนิดที่มีสีของโคมไฟที่แตกต่างกันประกอบอยู่ในชิ้นเดียวกัน